Language

ZUIHODEN  The mausoleum Masamune Date of the first feudal load  of Sendai-Han

ข้อมูลเกี่ยวกับซุยโฮเด็น

ขอแนะนำเกี่ยวกับสุสาน ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในซุยโฮเด็น

1ซุยโฮเด็น

ซุยโฮเด็น คือสุสานที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1637 บนเนินเขาเคียวกะมิเนะ ตามคำสั่งเสียของนายพล ดาเตะ มาซามูเนะ ผู้ครองนครคนแรกของแคว้นเซนได หลังจากที่เจ้าตัวได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 70 ปี เมื่อปี 1636 ซุยโฮเด็นประกอบด้วยเรือนหลัก เรือนสักการะ ที่ถวายเครื่องเซ่นไหว้ และประตูสุสาน โดยได้รับการกำหนดเป็นสมบัติของชาติในปี 1931 ด้านสถาปัตยกรรมศาลเจ้าที่มีการประดับตกแต่งอย่างงดงามโดยถ่ายทอดให้เห็นถึงวัฒนธรรมสมัยโมโมยามะ แต่ตัวสุสานเกิดการเสียหายเนื่องจากถูกไฟไหม้ตอนช่วงสงครามในปี 1945 ซุยโฮเด็นที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อปี 1979 โดยสร้างขึ้นตามแบบเดิมก่อนถูกเผาทำลายทั้งขนาดและการประดับตกแต่ง ในปี 2001 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่เพื่อเป็นที่ระลึกในวาระครบรอบ 400 ปีแห่งการก่อตั้งแคว้นเซนได โดยทำบริเวณเสาเป็นหัวสิงโตแกะสลัก ส่วนบนหลังคาประดับด้วยกระเบื้องรูปหัวมังกร ให้มีลักษณะเหมือนกับตอนแรกที่สร้างขึ้นมา

เนฮันมง (ประตูสุสาน)

ประตูด้านหน้าของซุยโฮเด็นเรียกว่า “เนฮันมง” คำว่า เนฮัน หมายถึงสภาพจิตใจที่รู้แจ้งเห็นแจ้ง โดยปราศจากกิเลสตัณหาอันนำมาซึ่งความทุกข์ โดยทั่วไปมักจะหมายถึงความตาย เนฮันมงของซุยโฮเด็นได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่โดยใช้ไม้ฮิบะอาโอะโมริที่มีอายุหลายร้อยปี มีการแกะสลักประดับตกแต่งอย่างงดงามเหมือนก่อนถูกเผาทำลาย เช่น บริเวณคานรับที่อยู่ด้านบนของประตูด้านหน้าทำเป็นรูป “กิเลน” สัตว์มงคล ส่วนหน้าจั่วที่อยู่ด้านซ้ายและขวาทำเป็นรูป “ดอกโบตั๋นและสิงโต” เป็นต้น

เรือนสักการะ

a

เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เตรียมไว้สำหรับการกราบไหว้สักการะ เรือนสักการะก่อนที่จะถูกเผาทำลายมีความสูงเท่ากับพื้นของซุยโฮเด็น เมื่อประตูด้านหน้าเปิดออกจะสามารถกราบไหว้สักการะรูปสลักไม้ของมาซามูเนะที่ตั้งอยู่ด้านในของซุยโฮเด็นได้ ผ่านทางเดินสะพานฮาชิโรกะ และประตูจีนคาระมง นอกจากนี้ ยังมีระเบียงทางเดินยื่นออกมาจากด้านข้างเชื่อมกับที่ถวายเครื่องเซ่นไหว้อีกด้วย ส่วนบนของประตูด้านหน้าประดับด้วย เฮ็งงะคุ หรือป้ายอักษรจากปลายพู่กันของ ซาซากิ บุงซัง นักเขียนตัวอักษรที่มีชื่อเสียงในยุคเอโดะ เรือนสักการะในปัจจุบันถูกย่อสัดส่วนลงเพื่อให้มองเห็นตัวซุยโฮเด็นได้ชัดยิ่งขึ้น

สถูปเจดีย์ของผู้ที่ปลิดชีพของตนตามเจ้านาย (โฮเคียวอินโต)

ในตอนต้นของยุคเอโดะ มีการทำอัตวินิบาตกรรมที่เรียกว่า “โออิบาระ” ซึ่งเป็นการคว้านท้องตามผู้เป็นนายที่เสียชีวิตไปเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตอนที่ดาเตะ มาซามุเนะเสียชีวิต นายพลอิชิดะและข้ารับใช้ที่ขึ้นตรง 15 คน รวมถึงบริวารคนอื่น ๆ อีก 5 ได้กระทำการปลิดชีพตัวเองตาม ซึ่งผู้ที่ได้รับการเรียกขานว่า จูนชิฉะ หรือผู้ปลิดชีพตามผู้เป็นนายนั้น หมายถึงคนที่ได้รับอนุญาตจากผู้เป็นก่อนจบชีวิตเท่านั้น คนที่คว้านท้องตนเองโดยมิได้รับการอนุญาตไม่ถือว่าเป็น จูนชิฉะ
เหตุผลหลักที่มีการปลิดชีพตนเองเช่นนี้กันอย่างแพร่หลายในยุคเอโดะ เป็นเพราะค่านิยมของนักรบซามูไรในยุคนั้นที่เชื่อกันว่า “ทาสผู้ซื่อสัตย์ไม่อาจรับใช้เจ้านายสองคนได้” การปลิดชีพเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายด้วยความตาย ได้รับการยกย่องในฐานะการกระทำที่มีคุณงามความดี

2พิพิธภัณฑ์

ที่ถวายเครื่องเซ่นไหว้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซุยโฮเด็นได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ โดยทำด้านในให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ในการขุดสำรวจเพื่อบูรณะฟื้นฟูสุสานของดาเตะรุ่นที่สามหลังถูกเผาทำลายจากการโจมตีทางอากาศช่วงสงคราม มีการค้นพบชิ้นส่วนมีค่าเป็นจำนวนมาก เช่น กระดูกของผู้ล่วงลับ สิ่งของฝังรวมไปพร้อมกับผู้ล่วงลับ เป็นต้น
ภายในพิพิธภัณฑ์ซุยโฮเด็น นอกจากจะมีการฉายวิดีโอบันทึกภภาพเหตุการณ์ตอนขุดสำรวจเป็นความยาว 20 นาทีแล้ว ยังมีการจัดแสดงและบรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นเหมือนจริงของเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งสามท่านซึ่งได้รับการบูรณะอย่างละเอียดประณีต โดยอ้างอิงตามสิ่งของที่ถูกค้นพบ ข้อมูลการตรวจสอบโครงกระดูก และแบบจำลองโครงกระดูกของผู้ล่วงลับ
*โปรดงดการถ่ายภาพและคลิปวิดีโอภายในพิพิธภัณฑ์

3เซ็นโนเด็น

เซ็นโนเด็นคือสุสานของ ดาเตะ สึนามูเนะ (ปี 1640-1711) ผู้ครองแคว้นคนที่สาม สร้างเสร็จช่วงปี 1716 ในยุคของนายพล ดาเตะ โยชิมูระ ผู้ครองแคว้นคนที่ห้า ประกอบด้วยเรือนหลัก ประตูจีนคาระมง เรือนสักการะ และประตูทางเข้าสุสาน ฯลฯ แม้ว่าจะมีการประดับตกแต่งที่เรียบง่ายกว่าซุยโฮเด็นและคันเซ็นเด็น แต่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสุสานที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ส่วนอื่น ๆ นอกจากตัวเรือนหลักได้ถูกทำลายลงเช่นเดียวกับคันเซ็นเด็นในช่วงต้นยุคเมจิ เรือนหลักเองก็ถูกเผาทำลายเนื่องจากสงครามในช่วงปี 1945 เซ็นโนเด็นได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่พร้อมกับคันเซ็นเด็นในปี 1985
เนื่องจากมีข้อมูลก่อนถูกเผาทำลายของเซ็นโนเด็นน้อย ดังนั้น หลังจากตรวจสอบหลายอย่างแล้ว จึงใช้การตกแต่งด้วย “หงส์” และ “ดอกโบตั๋น” ที่สึนามูเนะชอบวาด
การตายของสึนามูเนะเกิดขึ้นหลังคำสั่งประกาศห้ามทำอัตวิบากกรรมตามผู้เป็นนาย ในตอนนั้นจึงไม่มี จูนชิฉะ หรือผู้ที่ปลิดชีพตาม ข้ารับใช้ของสึนามูเนะได้ออกบวชเพื่อกระทำการ “กิชุน (เสมือนปลิดชีพ)” อันเป็นการสร้างบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้านหน้าซ้ายของเซ็นโนเด็นเป็นที่ตั้งสถูปของ คุมาไก อิซึคินาโฮะคิโยะ ผู้กระทำการกิชุน

4คันเซ็นเด็น

คันเซ็นเด็นเป็นสุสานของ ดาเตะ ทาดามุเนะ (ปี 1599 - 1658) ผู้ครองแคว้นคนที่สอง สร้างขึ้นในปี 1664 โดย ดาเตะ ซึนามูระ ผู้ครองแคว้นคนที่สี่ เป็นสุสานที่มีความงดงามตระการตา ประกอบด้วยตัวเรือนหลัก ประตูจีนคาระมง เรือนสักการะ ที่ถวายของเซ่นไหว้ และประตูทางเข้าสุสานเช่นเดียวกับซุยโฮเด็น แต่ด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์ ไฮบุตสึ กิชากึ หรือการหันหลังให้ศาสนาพุทธช่วงปีแรกของยุคเมจิ ส่วนต่าง ๆ จึงถูกรื้อถอนออกไปจนหมดเหลือเพียงตัวเรือนหลัก ในปี 1931 คันเซ็นเด็นได้รับการกำหนดให้สมบัติของชาติเช่นเดียวกบซุยโฮเด็น ในฐานะสถาปัตยกรรมสุสานที่มีความงดงามของช่วงต้นยุคเอโดะ อย่างไรก็ตาม ตัวเรือนหลักที่หลงเหลือก็ถูกเผาทำลายเนื่องจากเหตุสงครามในช่วงปี 1945
สุสานที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี 1985 ต่อจากซุยโฮเด็น ด้านซ้ายและขวาของคันเซ็นเด็นเป็นที่ตั้งสถูปเจดีย์ (โฮเคียวอินโต) ของเหล่าข้ารับใช้โดยตรงและผู้จงรักภักดีที่ปลิดชีพตัวเองตามตอนที่ทาดามุเนะเสียชีวิต สถูปเจดีย์เดิมพังเสียหายในช่วงที่คันเซ็นเด็นถูกเผาทำลายเนื่องจากไฟสงคราม แต่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ช่วงเดียวกับที่มีการบูรณะคันเซ็นเด็น

5เมียวอุนไคเบียว

ทิศเหนือของคันเซ็นเด็นเป็นที่ตั้งของ เมียวอุนไคเบียว หรือเป็นสุสานของจิคามูเนะผู้ครองแคว้นคนที่เก้า รวมถึงนาริโยชิผู้ครองแคว้นคนที่สิบเอ็ดและภรรยา

6โอโคะซามะโกะเบียว

บริเวณทางเข้าของทางเดินไปสุสาน เป็นที่ตั้งของ โอโคะซามะโกะเบียว หรือสุสานบุตรชายและบุตรสาวของผู้ครองแคว้นหลังจากยุคของโยชิมูระผู้ครองแคว้นคนที่ห้า

7แผ่นหินจารึกบนหลุมฝังศพของมังไคโชนิน

ตามบันทึก ห้องที่สร้างด้วยหินปรากฏให้เห็นจากพื้นดินตอนฝังศพของดาเตะ มาซามูเนะ และพบสิ่งของต่าง ๆ เช่น ไม้เท้าของพระสงฆ์ ลูกประคำ ฯลฯ อยู่ภายในบริเวณดังกล่าว จากการที่ โอคุยามะ ซึเนะโทคิ ผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง ได้สอบถามกับผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ ทำให้ได้ข้อมูลว่าบริเวณดังกล่าวคือหลุมฝังศพของมังไคโชนิน กล่าวกันว่า มังไคโชนิน เป็นพระสงฆ์ที่มีอภิญญา (ปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติอันเกิดจากการบำเพ็ญกรรมฐาน) มีการเก็บคัมภีร์พระสูตรไว้ในเนินดิน และถูกนำมาฝังบนเนินเคียวกะมิเนะหลังจากมรณะภาพ จากการที่มังไคโชนินคนนี้มีตาเดียว (ตาข้างเดียว) และเรื่องเล่าตอนมาซามูเนะถือกำเนิด ทำให้เชื่อกันว่ามาซามูเนะคือมังไคโชนินกลับชาติมาเกิด ผู้คนต่างเชื่อกันอย่างลึกซึ้งว่าการที่ร่างของมาซามูเนะถูกนำมาฝังในสถานที่เดียวกับมังไคโชนินคือพรหมลิขิต
“สถูปของมังไคโชนิน” เคยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของซุยโฮเด็นเรือนหลัก อย่างไรก็ตาม แผ่นหินจารึกดังกล่าวได้สูญหายไปเนื่องจากไฟสงครามในปี 1945 และการถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างหลังจากนั้น แผ่นจารึกในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในช่วงปี 1989

8อนุสาวรีย์วีรชนโจคนฮิ

อนุสาวรีย์โจคนฮิสร้างขึ้นจากเหล็กหล่อเมื่อปี 1877 ด้วยทุนทรัพย์ของตระกูลดาเตะ (ดาเตะ มูเนโมโตะ ผู้ครองแคว้นคนที่สิบสี่) และนักรบซามูไรของเซนไดเดิม เพื่อสดุดีดวงวิญญาณของผู้ปลิดชีพรวมถึงนักรบซามูไรเซนได ทหารรับใช้ในรัฐบาลทหาร เหล่านักรบกองหนุนเซนไดจากแคว้นโยเนะซาวะ รวม 1,260 คน ตลอดจนเหล่าพลเมืองผู้เสียสละ ในสงครามโบชินเมื่อปี 1868 และยุทธการฮาโกดาเตะเมื่อปี 1869
บนฐานที่อยู่ด้านหน้าอนุสาวรีย์วีรชนโจคนฮิ มีข้อความระบุไว้ว่า “อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นใกล้กับสุสานของท่านมาซามูเนะโดยอดีตผู้ว่าการจังหวัด ดาเตะ มูเนโมโตะ เพื่อปลอบประลอมดวงวิญญาณของนักรบและพลเมืองในพื้นที่จำนวนกว่าพันคนที่สละชีพเพื่อแคว้นเซนได ในสงครามโบชินครั้งนี้”